การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉล

การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉล 


มาตรา 159 บัญญัติว่า “การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะการถูกฉ้อฉลที่จะเป็นโมฆียะตามวรรคหนึ่ง จะต้องถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น ถ้าคู่กรณีฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลโดยบุคคลภายนอก การแสดงเจตนานั้นเป็นโมฆียะต่อเมื่อคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้ หรือควรจะได้รู้ถึงกลฉ้อฉลนั้น” 


กลฉ้อฉล  (fraud)  หมายถึง  การแสดงข้อความอย่างใดให้ผิดต่อความเป็นจริงเพื่อหลอกลวงให้เขาหลงเชื่อการแสดงเจตนานั้น   เพื่อประสงค์ประโยชน์อันไม่ควรได้ในส่วนของตน    สำหรับการหลอกลวงนั้นอาจกระทำด้วยประการใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวงด้วยวาจา ลายลักอักษร  กิริยาท่าทาง หรือการหลอกลวงในลักษณะอื่นๆ  เช่น นายแดง ต้องการซื้อพระสมเด็จวัดระฆังของแท้ เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดพ่อ นายดำ ซึ่งเป็นเซียนพระได้นำพระสมเด็จองค์หนึ่งซึ่งเป็นของปลอมมาขายให้นายแดง โดยหลอกว่าเป็นพระสมเด็จของแท้ นายแดงหลงเชื่อจึงซื้อพระสมเด็จดังกล่าว การซื้อพระสมเด็จดังกล่าวจึงเป็นโมฆียะ เพราะถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าวถึงขนาด การอันเป็นโมฆียะนั้นก็คงจะมิได้เกิดขึ้น หรือ  นายแดง หลอกลวงนายดำ ว่าม้าของตนเป็นม้าแข่งฝีเท้าดี เพื่อจะให้ได้ราคาสูงๆ แต่ความจริงม้าตัวนั้นเป็นม้าที่บาดเจ็บไม่อาจวิ่งได้อีกต่อไป เช่นนี้ นายดำ ย่อมบอกเลิกนิติกรรมอันมีผลเป็นโมฆียะเพราะเหตุ   ฉ้อฉลอันของนายแดงได้


การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลโดยบุคคลภายนอก หมายความว่า บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่เป็นคู่กรณีในการทำนิติกรรมได้ทำการหลอกลวงบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีฝ่ายหนึ่ง จนคู่กรณีฝ่ายนั้นหลงชื่อตามที่ถูกหลอกลวง และได้แสดงเจตนาทำนิติกรรมกับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งขึ้นนั้นขึ้น โดยหลักแล้วนิติกรรมนั้นจะมีผลเป็นโมฆียะ เว้นแต่ คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง (ฝ่ายที่มิใช่ถูกฉ้อฉล) ได้รู้ หรือควรจะรู้ถึงกลฉ้อฉลโดยบุคคลภายนอกนั้นก่อน หรือในขณะทำแสดงเจตนาทำนิติกรรม เช่น แดง เสนอขายแหวนเพชรวงหนึ่งให้แก่ ดำ ในราคา 100,000 บาท ในขณะที่  ดำ พิจารณาดูแหวนอยู่ เขียว ได้เข้ามาดูแหวนเพชรด้วย  แล้วพูดว่า “เป็นเพชรแท้มีเนื้องามมากไม่มีตำหนิ”  ซึ่งแดงรู้ดีว่า เขียวพูดจาหลอกเพื่อประสงค์จะให้ดำซื้อแหวนของแดง  จนดำหลงเชื่อซื้อแหวนวงดังกล่าวจากแดง  ต่อมาอีก  3 วันดำได้เอาไปให้ร้านเพชรดูจึงรู้ว่าเพชรดังกล่าวมีตำหนิ มีรอยขูดขีด และน้ำไม่งาม เช่นนี้ สัญญาซื้อขายแหวนเพชรดังกล่าวเกิดจากกลฉ้อฉลโดยเขียวซึ่งเป็นบุคคลภายนอก และ แดงก็ได้รู้ถึงกลฉ้อฉลด้วย นิติกรรมซื้อขายจึงตกเป็นโมฆียะ ดำมีสิทธิบอกล้างได้
                               

7. การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่


มาตรา 164 บัญญัติว่า “การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่เป็นโมฆียะ
การข่มขู่ที่จะทำให้การใดตกเป็นโมฆียะนั้น จะต้องเป็นการข่มขู่ที่จะให้เกิดภัยอันใกล้จะถึง และร้ายแรงถึงขนาดที่จะจูงใจให้ผู้ถูกข่มขู่มีมูลต้องกลัวซึ่งถ้ามิได้มีการข่มขู่เช่นนั้น การนั้นก็คงจะมิได้กระทำขึ้น”

การข่มขู่ หมายถึง การกระทำให้เกิดความเกรงกลัว ไม่ว่าจะข่มขู่โดยวิธีใด ให้ผู้ถูกข่มขู่เกิดความกลัวว่าจะเกิดภัยขึ้นแก่ตน จนต้องแสดงเจตนาทำนิติกรรมนั้นไปตามที่ถูกข่มขู่ สำหรับวิธีการข่มขู่นั้นอาจทำได้ในโดยทางวาจา หรือโดยทางลายลักอักษร หรือโดยกิริยาอาการที่เป็นการข่มขู่  ทั้งการข่มขู่นั้นอาจขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายให้ถึงแก่บาดเจ็บ หรือถึงแก่ชีวิต เช่น  แดง ต้องการจะซื้อที่ดินของ ดำ ซึ่งอยู่ริมชายหาด แต่ดำไม่ยอมขายให้ แดงจึงกล่าวว่าหากไม่ขายจะฆ่าดำเสีย เช่นนี้นิติกรรมการซื้อที่ดินก็ตกเป็นโมฆียะ

การกระทำที่ไม่ถือว่าเป็นการข่มขู่ตามกฎหมาย
1) การขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม หมายถึง การขู่โดยผู้ข่มขู่นั้นมีสิทธิเรียกร้องได้ตามกฎหมายที่จะให้ผู้ถูกข่มขู่ทำนิติกรรม โดยผู้ข่มขู่เชื่อโดยสุจริตว่าตนมีสิทธิที่จะทำได้ เช่น แดง ขู่ดำว่าถ้า ดำไม่ชำระเงินที่กู้คืน แดงจะฟ้องคดีต่อศาลและเชื่อโดยสุจริตใจว่าตนจะต้องเป็นผู้ชนะคดี เช่นนี้ถือว่าเป็นการขู่ว่าจะสิทธิตามปกตินิยม
2) การกระทำเพราะนับถือยำเกรง  หมายถึง การกระทำที่เกิดจากความเคารพนับถือตามธรรมเนียม หรือประเพณี ซึ่งโดยสภาพมิใช่การข่มขู่ เช่น การทำนิติกรรมของลูกเพราะความเกรงใจต่อพ่อแม่


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น