การแสดงเจตนา
การแสดงเจตนาจะต้องมีการกระทำโดยการแสดงเจตนาออกมาเพราะถ้าไม่มีการกระทำอันเป็นการแสดงเจตนาออกมาแล้วนิติกรรมก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้เพราะไม่มีใครทราบได้ว่าผู้ทำนิติกรรมมีความประสงค์อะไร
แต่การแสดงเจตนานั้นจะต้องเกิดจากเจตนาในใจจริงของผู้แสดงเจตนาของผู้ทำนิติกรรมจริงๆด้วย
มิฉะนั้น จะถือไม่ได้ว่าเป็นการแสดงเจตนา เช่น นายแดง ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินนอนป่วย
สติไม่ดี พูดจาไม่รู้เรื่อง นายดำจึงจับมือ
นายแดงพิมพ์ลงในใบมอบอำนาจเพื่อให้นายดำสามารถแอบนำเอาที่ดินของนายแดงไปขายให้แก่
นายขาวซึ่งเป็นบุคคลภายนอก กรณีนี้ถือว่า
นายแดงไม่มีการกระทำอันเป็นการแสดงเจตนาของนายแดงแต่อย่างได
จึงทำให้หนังสือมอบอำนาจไม่สมบูรณ์
ไม่ทำให้นายขาวได้สิทธิในที่ดินที่ซื้อจากนายแดงแต่อย่างได สำหรับการแสดงเจตนานั้นสามารถทำได้ 3
ลักษณะดังนี้
1) การแสดงเจตนาโดยชัดแจ้ง
เป็นการแสดงเจตนากระทำด้วยกิริยาท่าทางเพื่อเจตนาเพื่อให้เห็นได้อย่างชัดเจนซึ่งการกระทำนิติกรรมนั้นโดยตรง
ซึ่งอาจแสดงออกด้วยวาจา หรือลายลักอักษรก็ได้
แต่ถ้าต้องการให้มีความชัดเจนมากที่สุดก็ต้องแสดงออกเป็นลายลักอักษร
2)
การแสดงเจตนาโดยปริยาย
เป็นการแสดงเจตนาออกมาเพียงแต่ไม่อาจเข้าใจได้ว่ามีความหมายอย่างไร
แต่เมื่อคำนึงถึงพฤติการณ์ต่างๆ โดยทั่วไปแล้ว พอจะเข้าใจได้ว่ามีความหมายอย่างไร
เช่น
การที่เจ้าหนี้ฉีกสัญญากู้ทิ้งย่อมเป็นการแสดงเจตนาโดยปริยายว่าปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้
เป็นต้น
3) การแสดงเจตนาโดยการนิ่ง
โดยปกติการนิ่งไม่ถือเป็นการแสดงเจตนาเพราะมิได้มีการแสดงกิริยาอาการอย่างใดออกมา
แต่การนิ่งหรือการละเว้นในบางกรณีกฎหมายถือว่าเป็นการแสดงเจตนา เช่น มาตรา 570
กำหนดเอาไว้ว่าถ้าสัญญาเช่าสิ้นสุดลงแล้วหากผู้เช่ายังคงครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่
และผู้ให้เช่าไม่ทักท้วง ถือว่าทำสัญญาเช่ากันต่อไม่มีกำหนด หรือในกรณีปกติประเพณี
หรือโดยสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างกัน หรือจากสิ่งที่คู่กรณีพึงปฏิบัติต่อกันโดยสุจริต
ได้ก่อให้เกิดหน้าที่ที่คู่กรณีฝ่ายหนึ่งจะพึงต้องแสดงเจตนา
การนิ่งในลักษณะเช่นนี้ก็ถือได้ว่าเป็นการแสดงเจตนา
โดยหลักทั่วไปกฎหมายยอมรับหลักความศักดิ์สิทธิ์ในการแสดงเจตนาของบุคคล
แต่ทั้งนี้การแสดงเจตนาจะต้องเป็นเจตนาที่เกิดจากเจตนาที่แท้จริง
ไม่ได้เกิดจากเจตนาอันเบี่ยงเบนไป เช่น การแสดงเจตนาลวง (declaration of intention
which is fictitious) หรือนิติกรรมอำพราง(concealed act)
และนอกจากนั้นการแสดงเจตนานั้นจะต้องเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ไม่ใช่เกิดขึ้นจากเจตนาอันวิปริต
เช่น สำคัญผิด(mistake) กลฉ้อฉล(fraud)
อันจะมีผลทำให้นิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆะ(void)ซึ่งจะกล่าวในรายละเอียดต่อไป
5.1 การแสดงเจตนาลวง
มาตรา 155 วรรค 1 บัญญัติว่า
“การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ
แต่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต
และต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นไม่ได้
การแสดงเจตนาลวง
เป็นกรณีที่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายตกลงสมคบกันแสดงเจตนา
เพียงแต่การแสดงเจตนานั้นไม่ได้ตรงกับในใจจริง
แต่กระทำขึ้นเพื่อที่จะหลอกลวงบุคคลภายนอกมิได้ประสงค์ให้นิติกรรมนั้นมีผลผูกพันระหว่างกันแต่อย่างได
จากมาตรา 155
องค์ประกอบของการแสดงเจตนาลวงจึงประกอบไปด้วย
1.มีการตกลงที่แตกต่างไปจากเจตนาในใจจริง
2.มีการตกลงสมคบกันของคู่กรณี
3.โดยเจตนาที่จะหลอกลวงบุคคลภายนอก
เช่น
นายแดง เป็นลูกหนี้ของ นายดำ จำนวน 100,000 บาท นายแดง
กลัวว่านายดำจะมายึดรถยนต์ที่นายแดงมีอยู่เพียงคันเดียวไปขายเพื่อชำระหนี้ นายแดง
จึงตกลงสมคบกับนายขาว เพื่อนสนิท ทำนิติกรรมโอนขายรถยนต์คันดังกล่าวให้กับนายขาว
โดยมิได้มีเจตนาที่จะทำนิติกรรมกันจริงๆผลจากการทำนิติกรรมโดยการแสดงเจตนาลวง
1.ผลต่อคู่กรณี นิติกรรมมีผลเป็นโมฆะ เช่น
จากตัวอย่างเดิมนิติกรรมโอนขายรถยนต์คันดังกล่าวย่อมมีผลเป็นโมฆะ เพราะนายแดง
กับนายขาว มิได้มีเจตนาที่จะทำนิติกรรมกันจริงๆ
2.ผลต่อบุคคลภายนอก
บุคคลภายนอกที่สุจริตและได้รับความเสียหายจะได้รับความคุ้มครอง กล่าวคือ
แม้นิติกรรมนั้นจะเป็นโมฆะระหว่างคู่กรณี
แต่คู่กรณีก็ไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริต คือ “ไม่รู้”
ถึงการสมคบกันของคู่กรณี และ “ต้องเสียหาย”
คือได้รับความเสียหายจากการทำนิติกรรมนั้น เช่น จากตัวอย่างเดิม ถ้านายแดง
ได้ส่งมอบรถยนต์ให้กับนายขาวมาแล้ว นายขาวได้แอบนำเอารถยนต์ไปขายต่อให้นาย เขียว
ในราคา 100,000 บาท โดยนายเขียวไม่รู้เลยว่า การตกลงระหว่างนายแดงกับนายดำ เป็นโมฆะ
เช่นนี้นายเขียวจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย
5.2
นิติกรรมอำพราง
มาตรา 155 วรรค 2 บัญญัติว่า
“ถ้าการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึ่งทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมอื่นให้นำบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางมาใช้บังคับ”
นิติกรรมอำพราง คือ
นิติกรรมที่ถูกอำพรางหรือถูกปกปิดโดยนิติกรรมอีกอันหนึ่งที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กันระหว่างคู่กรณีซ้อนนิติกรรมอันเกิดจากการแสดงเจตนาอันแท้จริงขึ้นมาอีกอันหนึ่ง
ดังนั้นนิติกรรมอำพรางจึงมีองค์ประกอบดังนี้
1) มีการทำนิติกรรมเกิดขึ้น 2
นิติกรรม
2) นิติกรรมอันหนึ่งที่ถูกเปิดเผย
แต่ไม่ต้องการให้นิติกรรมนั้นผูกพัน
3)
นิติกรรมอีกอันหนึ่งที่ปกปิด(นิติกรรมอำพราง) แต่ต้องการที่จะผูกพัน เช่น นายแดง
ทำสัญญาโอนที่ดิน เพื่อปกปิด(อำพราง) การซื้อขายที่ทำเอาไว้กับนายดำ
เช่นนี้สัญญาโอนที่ดินเป็นการแสดงเจตนาที่ไม่ต้องการให้ผูกพันจึงตกเป็นโมฆะ
ตามมาตรา 155 วรรคแรก จึงต้องบังคับกันไปตามสัญญาซื้อขาย
สำหรับนิติกรรมที่ถูกอำพรางนั้นจะมีผลใช้บังคับกันได้เพียงไดนั้นต้องพิจารณา
กฎหมายในส่วนซึ่งให้นำบทบัญญัติให้นำกฎหมายอันเกี่ยวกับบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางมาใช้บังคับ
เช่น นิติกรรมอันที่ปกปิด
หรืออำพรางไว้นั้นกฎหมายกำหนดแบบเอาไว้ว่าจะต้องทำเป็นหนังสือจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้
นิติกรรมอำพรางนั้นก็จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ มิฉะนั้น
นิติกรรมอำพรางนั้นก็ไม่อาจฟ้องร้องบังคับคดีกันได้เพราะไม่ได้ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดเอาไว้
5.3. การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญ
มาตรา 156 วรรค 1 บัญญัติว่า
“การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมเป็นโมฆะ”
ความสำคัญผิด(Mistake)
หมายถึง
ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง
สาระสำคัญของนิติกรรม
หมายถึง สิ่งที่จะต้องมีในนิติกรรมนั้นๆ ถ้านิติกรรมไม่มีสิ่งนั้นแล้ว
นิติกรรมนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นมาได้
สำหรับความสำคัญผิดซึ่งกฎหมายกำหนดเอาไว้เป็นตัวอย่างนั้น ได้แก่
5.3..1 ความสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม เช่น นายแดง
ต้องการที่จะค้ำประกัน นายดำ ที่นายดำ ไปกู้เงินจาก นายขาว แต่นายแดง
สำคัญผิดว่าผู้ค้ำประกันจะต้องลงลายมือชื่อในสัญญาคู่กับนายดำ ผู้กู้ เช่นนี้
การแสดงเจตนาของนายแดง ที่ลงชื่อในช่องผู้กู้ย่อมเป็นโมฆะ เช่น
ในคดีหนึ่งจำเลยได้ลงลายมือชื่อในสัญญายอมความที่อำเภอ
จำเลยไม่รู้ข้อความในสัญญาเข้าใจผิดว่าเป็นหนังสือประกันตัว นาย ข.
แต่กลายเป็นสัญญายอมต่อกรมการอำเภอว่าจำเลยยอมใช้เงินแก่โจทก์
สัญญายอมความไม่สมบูรณ์เป็นโมฆะตามมาตรา 156
5.3.2ตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม
เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาว่าผู้แสดงเจตนามุ่งหมายที่จะทำนิติกรรมกับบุคคลใด
ถ้าหากเจตนาที่จะทำนิติกรรมกับบุคคลหนึ่งแต่ได้แสดงเจตนาทำนิติกรรมกับอีกบุคลหนึ่ง
ก็ย่อมทำให้นิติกรรมนั้นมีผลเป็นโมฆะ แต่ทั้งนี้ตัวบุคคลจะต้องถือเป็นสาระสำคัญด้วย
หากตัวบุคคลไม่ใช่สาระสำคัญแล้วนิติกรรมนั้นก็ไม่ตกเป็นโมฆะ เช่น แดง
เสนอขอเช่าบ้านของ ดำ แต่ดำสำคัญผิดเข้าใจว่า แดง
ผู้ขอเช่าบ้านนี้เป็นแดงคนเดียวกับแดงเพื่อนรักของตนเพื่อจะได้ไว้วางใจในการดูแลบ้านด้วย
ต่อมาปรากฏว่าเป็นคนละคนกัน เช่นนี้ถือว่าเป็นการสำคัญผิดในตัวบุคคล
5.3.3 สำคัญผิดในวัตถุแห่งนิติกรรม วัตถุแห่งนิติกรรม คือ
ตัวทรัพย์สินที่จะต้องส่งมอบกัน
หรือข้อปฏิบัติอันเกิดแต่นิติกรรมซึ่งอาจเป็นการกระทำ
หรืองดเว้นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วแต่กรณี เช่น นายแดง
ต้องการที่จะซื้อที่ดินแปลงหนึ่ง แต่นายแดงสำคัญผิดไปตกลงซื้อที่ดินอีกแปลงหนึ่ง
เป็นกรณีที่ นายแดง
เจตนาทำนิติกรรมโดยสำคัญผิดในทรัพย์ซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรมคือการซื้อที่ดินผิดแปลง
สัญญาซื้อที่ดินของนายแดงจึงตกเป็นโมฆะ
แต่ถ้าความสำคัญผิดนั้นเกิดขึ้นจากความประมาทเลินเล่อของบุคคลผู้แสดงเจตนา
บุคคลผู้แสดงเจตนานั้นจะถือเอาความประมาทเลินเล่อนั้นมาเป็นประโยชน์กับตนเองไม่ได้
5.4 การแสดงเจตนาด้วยความสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคล
หรือทรัพย์สิน
มาตรา 157 บัญญัติว่า “การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคล
หรือทรัพย์สินเป็นโมฆียะ
ความสำคัญผิดตามวรรคหนึ่ง
ต้องเป็นความสำคัญผิดในคุณสมบัติซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญ
ซึ่งหากมิได้มีความสำคัญผิดดังกล่าวการอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น”
การสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคล
หรือทรัพย์เป็นการสำคัญผิดไม่ถึงขนาดที่เป็นสาระสำคัญของนิติกรรมเพียงแต่การแสดงเจตนานั้นสำคัญผิดว่าบุคคลหรือ
ทรัพย์มีคุณสมบัติอย่างหนึ่งแต่ปรากฎว่าไม่ตรงกับความเป็นจริงที่ต้องการในคุณสมบัตินั้น เช่น
นายแดงต้องการจ้างจิตรกรที่มีฝีมือในการวาดภาพเหมือนมาวาดภาพภริยาของตน จึงตกลงจ้าง
นายดำ ซึ่งนายแดงเข้าใจว่านายดำเป็นจิตรกรฝีมือดีในการวาดภาพเหมือน
ต่อมาจึงทราบว่านายดำเป็นแค่คนรับเขียนตัวหนังสือ ไม่มีฝีมือในการวาดภาพเหมือนเลย
เช่นนี้สัญญาจึงตกเป็นโมฆียะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น